ผลการวิจัยและการทดลองการปลูกปะการังด้วยท่อพีวีซี
ข้อพิสูจน์
ปะการังเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง สามารถเจริญอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีแสง และอุณหภูมิที่เหมาะสม การเจริญเติบโตของปะการังเป็นสภาวะพึ่งพากับสาหร่าย Zooxanthellae ซึ่งจะสังเคราะห์แสงให้ได้อาหารและแร่ธาตุในการเจริญเติบโตของปะการัง แม้ปะการังเป็นสัตว์แต่ก็มีการเจริญเติบโตที่คล้ายพืช – ปะการังสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศซึ่งเกิดสั้น ๆ ในรอบปีและแบบไม่อาศัยเพศ ที่เกิดจากการแตกหักของชิ้นส่วนของปะการังแล้วแตกหน่อกิ่งก้านขึ้นมาในบริเวณใกล้เคียง
การขยายพันธุ์ปะการัง จึงใช้หลักการตัดแยกกิ่งปะการังเขากวางจากแปลงอนุบาล ซึ่งจากการทดลองได้ใช้แปลงขนาด 0.6 เมตร X 1.2 เมตร จำนวน 14 ต้น/แปลง และมีการทดลองตัด เพื่อศึกษาความยาวที่โผล่พ้นท่อพีวีซีของกิ่งพันธุ์ที่เหมาะสม ได้แก่ 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 เซนติเมตร แบบมียอดและไม่มียอด พบว่าถ้าตัดมากกว่า 3 เซนติเมตรขึ้นไป จะมีอัตราการอยู่รอดมากกว่า 90%
ข้อดี และข้อเสีย
โครงการขยายพันธุ์ปะการังเขากวางนี้ เป็นโครงการที่พัฒนาจาการศึกษาการช่วยชีวิตปะการังตั้งแต่ พ.ศ. 2537-2538 ด้วยวิธีตอกเหล็กข้ออ้อยยาว 50 เซนติเมตร ยึดติดกับท่อพีวีซี และนำกิ่งปะการังมาเสียบด้านบนของท่อพีวีซี พบว่าปะการังเขากวางที่ช่วยชีวิตนี้ไม่ล้ม สามารถเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งข้อดีของวิธีดังกล่าวนี้ คือมีอัตราการรอดชีวิตสูงเกือบ 100% ส่วนข้อเสียคือ จะต้องทำงานใต้น้ำเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 – 2544 จึงได้มีการพัฒนาเป็นแปลงเหล็กยึดท่อพีวีซีเพื่อการปลูกปะการัง ซึ่งพบว่าทำได้สะดวก มีอัตรการรอดชีวิตสูง แต่วัสดุมีราคาแพงและเหล็กเป็นสนิมในระยะเวลาต่อมา
ทำไมจึงใช้ท่อพีวีซี
เนื่องจากแนวคิดของการขยายพันธุ์ปะการังเขากวางมีแนวที่จะแสวงหาวิธีการนำไปใช้ง่าย ๆ และสะดวก โดยที่เด็กและชาวบ้านก็สามารถทำได้ วัสดุที่ใช้ต้องมีความคงทนและราคาถูก พบว่าท่อพีวีซีมีคุณสมบัติทั้ง 2 อย่าง อีกทั้งมีความปลอดภัยต่อธรรมชาติ ปะการังสามารถเกาะยึดกับต้อตอที่เป็นท่อพีวีซี ได้อย่างกลมกลืน นอกจากนั้นยังพบว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น หอยนางรม ฟองน้ำ ปะการังชนิดอื่น รวมทั้งสาหร่าย สามารถเกาะและเคลือบผิวของท่อ ทำให้ไม่เห็นถึงความเป็นสิ่งแปลกปลอมในธรรมชาติ เราให้นิยามว่า “เป็นวัสดุที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้” และนอกจากนี้ คุณสมบัติของท่อพีวีซีมีความคงทนในธรรมชาติท้องทะเลเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะนำท่อพีวีซี มาใช้ได้อีกหลาย ๆ รุ่น
องค์กรและหน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการ “วีนิไทย ร่วมใจปลูกปะการัง ๘๐,๐๐๐ กิ่ง ที่เริ่มต้นเพื่อล้นเกล้า”
บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน)
มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ. วีนิไทย
จากวิกฤตการสูญเสียปะการังเป็นจำนวนมากในทะเลอ่าวไทยภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยมีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของโลกที่ไม่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของปะการัง เช่น การเกิดปรากฎการณ์ปะการังฟอกขาวหรือเป็นการกระทำของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การเปิดหน้าดินที่มีผลทำให้มีตะกอนไปทับถมแนวปะการัง การทำประมงที่ผิดวิธี ตลอดจนขาดความระมัดระวัง และจิตสำนึกต่อการใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยว ซึ่งมีผลต่อการสูญเสียทรัพยากรแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์สวยงามติดอันดับโลก และส่งผลกระทบต่ออาชีพประมงของชาติ
แนวคิดด้านการขยายพันธุ์ปะการังจึงได้มีการริเริ่ม และได้มีการทำการทดลองปลูกปะการังด้วยท่อพีวีซีเป็นครั้งแรกของโลก ณ บริเวณ หาดแสมสาร ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่ปี 2538 โดยการนำของอาจารย์ประสาน แสงไพบูลย์ รองคณะบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งสถาบันราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี ร่วมกับอาจารย์และนักเรียนโรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา อาสาสมัครผู้รักท้องทะเล โดยการทดลองเพาะเลี้ยงปะการังที่อยู่ในสภาพแตกหักจากธรรมชาติ ด้วยแปลงเหล็กข้ออ้อยและใช้ท่อพีวีซีเป็นฐานยึดกิ่ง และต่อมาได้มีการดัดแปลงให้เป็นแปลงท่อพีวีซีเพื่อการปลูกและอนุบาลปะการังเขากวาง โดยทดลองเพาะเลี้ยงปะการังที่อยู่ในสภาพแตกหักด้วยแปลงท่อพีวีซีเพื่อการปลูกและอนุบาลปะการังเขากวางในปี 2541
โดยการทดลองซึ่งพิสูจน์จากธรรมชาติแล้วว่าพีวีซีมีความปลอดภัย แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตทางทะเลขนาดเล็กและอ่อนไหวอย่างเช่น ปะการัง ก็ยังสามารถเติบโตเกาะเจริญตัวบนพีวีซีได้ พีวีซีจึงเป็นวัสดุที่สามารถอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี
จากนั้นจึงได้มีการจัดตั้งเป็นโครงการขยายพันธุ์ปะการังเขากวาง จำนวน 10,000 ต้น โดยมีเป้าหมายที่จะให้มีปริมาณปะการังเพียงพอในการฟื้นฟูท้องทะเลไทยและเพื่อเก็บบางส่วนไว้เป็นต้นพันธุ์สำหรับการขยายพันธุ์ต่อไป
บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผงพลาสติกพีวีซีและโซดาไฟ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ได้เล็งเห็นความสำคัญของโครงการฯ ดังกล่าว อีกทั้งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จัดเป็นนโยบายหลักอันหนึ่งของบริษัทฯ จึงได้ดำริและหารือกับอาจารย์ประสาน แสงไพบูลย์ พร้อมกับทีมงานให้มีการจัดตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ดังนั้นมูลนิธิจึงได้ก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 2546 โดยใช้ชื่อว่า “มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยการอุปถัมภ์ของบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) (มน. วทอ.) (Marine Science Activity and Conservation Foundation (MACF) supported by Vinythai PLC.) โดย บมจ. วีนิไทย เป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและดำเนินการก่อตั้ง กอปรกับให้ทุนในการศึกษาวิจัยและดำเนินกิจกรรม โดยมีวัตถุสงค์เพื่อดำเนินการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนทรัพยากรทางธรรมชาติอื่นๆ ช่วยเหลือ สนับสนุน ประสานความร่วมมือและส่งเสริมกิจกรรมการศึกษาวิจัยของนักเรียน นักศึกษา เยาวชน ครู คณาจารย์ บุคคลทั่วไป ทางด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล
ทั้งนี้ ได้มีการจัดงานแถลงข่าวสื่อมวลชน ในการเปิดโครงการฯ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพฯ อีกทั้งได้มีพิธีเปิดงานโครงการ “วีนิไทยกับการขยายพันธุ์ปะการังด้วยท่อพีวีซี” และเปิดตัวมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยการอุปถัมภ์ของบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวัีนที่ 19 มกราคม 2547 ณ สโมสรหาดน้ำหนาว ต. แสมสาร อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
นับตั้งแต่ที่บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) ได้เข้าไปเป็นกำลังหลักในการส่งเสริมการดำเนินกิจกรรมตามโครงการการขยายพันธุ์ปะการังด้วยท่อพีวีซีอย่างต่อเนื่องนั้น ยังได้มีการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย ในการสนับสนุนและส่งเสริมเยาวชนและประชาชนทั่วไปให้มีความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด อาทิ การรับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายตามสถานศึกษาและการจัดนิทรรศการในสถานที่ต่าง ๆ การจัดกิจกรรมค่ายเยาวชน การขอดูงานของสถานศึกษาและผู้ที่สนใจทั่วไปเพื่อเรียนรู้วิธีการปลูกปะการังด้วยท่อพีวีซีโดยละเอียดทุกขั้นตอน พร้อมที่จะนำไปเผยแพร่และดำเนินการได้ด้วยตนเอง อีกทั้งได้มีส่วนในการเผยแพร่และปลูกฝังจิตสำนึกต่อชุมชนและผู้ที่สนใจ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เกิดการหวงแหนและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มที่
กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย
เพื่อเผยแพร่ความรู้และความเข้าใจในการขยายพันธุ์ปะการัง การอนุรักษ์ปะการังและธรรมชาติทางทะเล ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้แก่เยาชนและบุคคลทั่วไปด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มูลนิธิฯได้มีการจัดและเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆมากมายในการให้การสนับสนุนเยาวชนและประชาชนเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด อาทิ การรับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายตามสถานศึกษา การจัดนิทรรศการในสถานที่ต่างๆ การจัดกิจกรรมงานค่ายเยาวชน การศึกษาดูงานการขยายพันธ์ปะการังเขากวางและการเยี่ยมชมสถานที่ จากสถาบันการศึกษา และองค์กรต่างๆทั่วประเทศ ตลอดจนผู้ที่สนใจทั่วไป อีกทั้งได้มีส่วนในการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจและปลูกฝังจิตสำนึกต่อชุมชน เพื่อให้เกิดการหวงแหนและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มที่ โดยมีหน่วยงานต่างๆให้ความสนใจและเข้าร่วมโครงการฯ มาโดยตลอด
กิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้น ด้านความรู้ ความเข้าใจ ถึงคุณค่าของธรรมชาติ ผลกระทบที่เกิดในด้านต่างๆ ในแหล่งเรียนรู้ และจากสถานการณ์จริง ของ “ห้องเรียนธรรมชาติทางทะเล” โดยมีการเข้าเรียนรู้และฝึกฝนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติ เช่น การเรียนรู้วิธีการดำน้ำขั้นต้น เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องของแนวปะการังธรรมชาติ รวมถึงได้ชื่นชมความสวยงามของสัตว์ทะเลนานาชนิด และการเรียนรู้วิธีการปลูกปะการังเขากวางด้วยท่อพีวีซีได้โดยละเอียดทุกขั้นตอน พร้อมทั้งลงมือปฎิบัติจริงและสามารถที่จะนำไปเผยแพร่หรือดำเนินการได้ด้วยตนเอง
ทั้งหมดนี้ เป็นโครงการระยะยาวของบริษัท วีนิไทย จำกัด(มหาชน) ซึ่งนับเป็นหนึ่งในโครงการแห่งความภาคภูมิใจ บมจ. วีนิไทย ที่ได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแห่งท้องทะเลไทย ด้วยนโยบายที่ชัดเจนของวีนิไทยในการสนับสนุนการวิจัยหรือโครงการอันเอื้อประโยชน์ต่อสังคม ชุมชนและสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และ บมจ. วีนิไทยจะยังคงดำเนินการและสานต่อโครงการขยายพันธุ์ปะการังด้วยท่อพีวีซีอย่างต่อเนื่องสืบต่อไป
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การพัฒนาของประเทศในด้านต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เช่น การทำการประมง อุตสาหกรรม เกษตรกรรม การพัฒนาแหล่งชุมชนและอื่น ๆ ทำให้มีการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างมาก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงโทรมของทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการใช้ที่ดินชายฝั่งทะเลมากจนเกิดความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์และมีการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง พื้นที่ป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการบุกรุกและเปลี่ยนแปลงสภาพเพื่อประโยชน์ในด้านอื่น ๆ แหล่งปะการัง และหญ้าทะเลก็อยู่ในสภาพเสื่อมโทรมเช่นกัน ปริมาณสัตว์น้ำที่จับได้ลดลงอย่างมาก ประกอบกับสภาพแวดล้อมของแหล่งน้ำเสื่อมโทรม ซึ่งเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตและการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ
การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในอดีตที่ผ่านมา ยังไม่มีเอกภาพ ขาดการบูรณาการและไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงหรือมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ จึงได้มีการปฎิรูประบบราชการและมีพระราชบัญญติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 กำหนดให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรวมทั้งการจัดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น โดยรวมงานที่เกี่ยวข้องในด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจากกรมประมง กรมป่าไม้ และกรมพัฒนาที่ดินในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาอยู่ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ท.ส.) โดยมีภารกิจในการอนุรักษ์ฟื้นฟู บริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะพื้นที่ดินชายทะเล ป่าชายเลน แนวปะการัง หญ้าทะเลและสัตว์ทะเลทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสมดุลและเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน
ผลงานของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ยุทธศาสตร์ : การอนุรักษ์และจัดการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นไปอย่างสมดุลและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน
- โครงการปลูกป่าชายเลนถาวรเฉลิมพระเกียรติฯ
- โครงการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำอย่างยั่งยืนโดยประชาชนมีส่วนร่วม
- กิจกรรมคุ้มครองเฝ้าระวังป้องกันการทำลายปะการังและดำเนินกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อ ทรัพยากร เพื่อคุ้มครองสัตว์ทะเลหายาก
- กิจกรรมบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอ่าวพังงา
- ผลงานการศึกษาวิจัยโครงการการศึกษาและฟื้นฟูระบบนิเวศป่าชายฝั่งเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมชุมชนชายฝั่งที่ประสบภัยธรณีพิบัติ
ยุทธศาสตร์ : การบริหารจัดการและการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยการมีส่วนร่วมและบูรณาการในทุกระดับ
- โครงการศึกษาและจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในทะเลสาบสงขลา อาทิ ศึกษาชีววิทยาบางประการของปลาท่องเที่ยว เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนจัดการอนุรักษ์ปลาท้องถิ่น สำรวจการแพร่กระจายสาหร่ายในทะเลสาบสงขลา และทะเลน้อย พบว่าบริเวณทะเลสาบตอนนอกและตอนบน เป็นต้น
- ความร่วมมือระหว่างประเทศ ด้านการวิจัยจากองค์กรต่าง ๆ ในต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือด้านการวิจัยด้านทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล และป่าชายเลน อาทิ โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการฟื้นฟูแนวปะการัง EU-Israel-PMBC 2548-2551 ระหว่างประเทศในเอเชียและยุโรป โครงการความร่วมมือไทย-เยอรมัน ดำเนินงานศึกษาวิจัย เรื่อง “พลวัตรและการเชื่อมโยงระหว่างระบบนิเวศของมหาสมุทรและแนวปะการัง : ปฏิสัมพันธ์ทางชีวะ เคมี และปัจจัยทางสภาวะที่มีผลต่อระบบนิเวศในทะเลอันดามัน” เป็นต้น4
โครงการฟื้นฟูแนวปะการังเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันออก
โดยศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก
ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้จัดทำโครงการฟื้นฟูแนวปะการังเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์บริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้ดำเนินการในบริเวณพื้นที่เกาะมันใน จังหวัดระยอง และเกาะหวาย เกาะเทียน เกาะกระและเกาะรัง จังหวัดตราด โดยได้มีรูปแบบการฟื้นฟูแนวปะการัง เป็นลักษณะแพอนุบาลปะการังมีลักษณะเป็นแผงตาข่ายพลาสติก โดยแพอยู่ลึกจากผิวน้ำ 2-3 เมตร และอยู่เหนือพื้นท้องทะเลประมาณ 3 เมตร จากนั้นจะนำกิ่งปะการังจากแปลงอนุบาลแพกลางน้ำ ย้ายไปปลูกบนแท่งคานคอนกรีตสำเร็จรูป ส่วนปะการังก้อนสามารถย้ายลงบนแท่งคานคอนกรีตสำเร็จรูปและบนแท่งคอนกรีตเสริมเหล็กทรงสามเหลี่ยม
เพื่อการวิจัยและพัฒนา ฟื้นฟูแนวปะการังอย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2551 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจในความร่วมมือทางวิชาการโครงการ “วีนิไทย ร่วมใจปลูกปะการัง ๘๐,๐๐๐ กิ่ง ที่เริ่มต้น เพื่อล้นเกล้า” ระหว่าง บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองทัพเรือ มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพพรรณี มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย รวมถึงหมู่เกาะต่าง ๆ ได้แก่ เกาะเสม็ด ช่องแสมสาร เกาะหวาย เกาะขาม และเกาะทะลุ เพื่อพัฒนาการขยายพันธุ์ปะการังเขากวางด้วยท่อพีวีซี อันนำไปสู่การฟื้นฟูท้องทะเลไทย ให้อุดมสมบูรณ์ เพื่อเป็นบ้านพักอันปลอดภัยให้กับสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลไทยต่อไป
กองทัพเรือ
บทบาทของกองทัพเรือในด้านงานอนุรักษ์ ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2534 ตามมติ ครม.เมื่อ 4 มิถุนายน 2534 ซึ่งระบุให้ กองทัพเรือ กรมประมงและกรมป่าไม้ ดำเนินการตามมาตรการเร่งด่วน ในการป้องกันผู้บุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน การป้องกันการทำลายปะการัง และการดำเนินการปลุกจิตสำนึก ซึ่งกองทัพเรือได้เล็งเห็นและตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว กองทัพเรือ จึงได้จัดทำโครงการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง กองทัพเรือขึ้น
โครงการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง กองทัพเรือ ซึ่งแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 งานคือ
- งานอนุรักษ์สภาพแวดล้อมในทะเล ดำเนินงานในพื้นที่บริเวณอ่าวไทยตอนบน อ่าวไทยตอนล่าง พื้นที่สัตหีบและบริเวณใกล้เคียง และบริเวณทะเลอันดามัน โดยมีกิจกรรมหลัก ได้แก่ การวางและซ่อมแซมทุ่นหมายเขตแนวปะการัง และทุ่นจอดเรือ เพื่อป้องกันการทำลายปะการังและทรัพยากรใต้ทะเล การอบรมนักดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ และการฟื้นฟูปะการังที่เกาะขาม โดยมี กองเรือป้องกันฝั่ง, ศรชล.เขต1-3 , ทัพเรือภาคที่ 1,ทัพเรือภาคที่ 2, ทัพเรือภาคที่ 3 หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และ หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ เป็นหน่วยปฏิบัติ
- งานอนุรักษ์สภาพแวดล้อมชายฝั่ง ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมชายฝั่ง โดยมี ทัพเรือภาคที่ 2, ทัพเรือภาคที่ 3, หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน, หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง, ฐานทัพเรือกรุงเทพ, ฐานทัพเรือสัตหีบ และ กปช.จต. เป็นหน่วยปฏิบัติ มีกิจกรรมหลัก ได้แก่ ดำเนินการปลูกป่าบกและป่าชายเลน การเก็บขยะตามชายหาดในวันหยุดและวันสำคัญของชาติ และกองทัพเรือ
- งานอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ทะเล โดยมี ทัพเรือภาคที่ 3, หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และ กรมอุทกศาสตร์ เป็นหน่วยรับผิดชอบ มีกิจกรรมหลักได้แก่ การเพาะเลี้ยงเต่าทะเล ได้แก่ เต่าตนุ และเต่ากระ ที่ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และ ฐานทัพเรือพังงา และการเพาะเลี้ยงหอยนมสาวที่สถานีสมุทรศาสตร์สัตหีบ กรมอุทกศาสตร์ เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
โครงการขยายพันธุ์ปะการัง ณ บริเวณหาดสอ สพ.กองทัพเรือ
ตามที่ชมรมดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ สพ.กองทัพเรือ ได้ดำเนินการจัดทำโครงการขยายพันธุ์ปะการัง ณ บริเวณหาดสอ โดยวิธีการปลูกปะการังแบบตอกหมุด และแบบตะแกรงเหล็กท่อพีวีซีในการยึดกิ่งปะการัง โดยมี
วัตุประสงค์ คือ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเล และร่วมกัน ฟื้นฟูแนวปะการัง เพื่อสร้างความสมดุลของระบบนิเวศน์ที่ช่องเกาะคราม ประชาสัมพันธ์ให้หาดสอเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และเพื่อปะกาศเป็นเขตอนุรักษ์ ป้องกันแนวปะการังถูกทำลายจากการทำประมงน้ำตื้น และเป็นเขตขยายพันธุ์สัตว์น้ำ
จนปัจจุบันได้ดำเนินการแล้ว 5 โครงการคือ
- โครงการปลูกปะการัง และวางทุ่นแสดงแนวเขตปะการัง เมื่อ 15 มีนาคม 2546
- โครงการปลูกปะการังระดับ เมื่อ 14 มิถุนายน 2546
- โครงการขยายพันธุ์ปะการังเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อ 10 สิงหาคม 2546
- โครงการขยายพันธุ์ปะการังเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อ 4 เมษายน 2547 , 12 สิงหาคม 2547
- โครงการปลูกปะการังเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อ 9 สิงหาคม 2547
ผลสรุปการขยายพันธุ์ปะการังรวมทุกโครงการ
จำนวนปะการังที่ขยายพันธุ์ไปแล้ว 1113 ต้น
จำนวนปะการังที่รอด 696 ต้น
จำนวนปะการังที่ตาย 417 ต้น
คิดเป็นอัตรารอด 62.53 %
บทบาทด้านงานอนุรักษ์ปะการังของหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ
หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการได้สนับสนุนโครงการอนุรักษ์และพัฒนาสภาพแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งของกองทัพเรือ ตามที่ กองทัพเรือ มอบหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล และ การป้องกันแนว ปะการังไม่ให้ถูกทำลายและเสื่อมโทรม ได้ดำเนินกิจกรรมหลัก 2 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมการฝึกอบรมนักดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์-ใต้ทะเล และกิจกรรมการเคลื่อนย้ายปะการัง โดยกองทัพเรือเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณหลัก
- กิจกรรมการฝึกอบรมนักดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ฯ ได้เริ่มดำเนินการครั้งแรกเมื่อปี 2538 เป็นกิจกรรมการสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ปะการัง โดย นสร.กร.เป็นหน่วยฝึกอบรมกำลังพลที่ได้รับการคัดเลือกจากบุคคลพลเรือน นักศึกษาและบางส่วนจากกองทัพเรือ จำนวน 60 คนต่อรุ่น ปัจจุบันได้ฝึกอบรมแล้วจำนวน 13 รุ่น นักดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ฯ จะสนับสนุนงานของโครงการอุทยานใต้ทะเลจุฬาภรณ์ ๓๖ ของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ในการวางทุ่นผูกเรือเพื่อป้องกันแนวปะการังในฝั่งทะเลอันดามัน บริเวณอุทยานแห่งชาติ หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะตะรุเตา รวมทั้งการเคลื่อนย้ายปะการัง การปล่อยปลาการ์ตูน การเก็บขยะใต้น้ำ ตามแนวปะการังและชายฝั่งตามสถานที่ต่างๆ ในวาระโอกาสที่สำคัญ
- กิจกรรมการเคลื่อนย้ายปะการัง สืบเนื่องจากการสร้างเขื่อนกันคลื่นบริเวณแหลมปู่เจ้า ท่าเรือแหลมเทียน อ่าวสัตหีบ ทำให้เกิดฝุ่นตะกอนในน้ำมีปริมาณที่มาก จนเกิดผลกระทบต่อแนวปะการังบริเวณ
ทิศตะวันออกของเกาะตอหม้อ ในปี 2539 นสร.กร. จึงได้เริ่มดำเนินการศึกษาทดลองและดำเนินเคลื่อนย้ายปะการังดังกล่าว ไปยังเกาะขาม บริเวณทางด้านทิศเหนือของเกาะและเกาะปลาหมึกบางส่วน ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีสภาพแวดล้อมและชีวภาพใกล้เคียงกับเกาะตอหม้อ โดยใช้วิธีการติดแท่งปะการังลงบนแท่งคอนกรีตและใช้ ไฮดรอลิกซีเมนต์ในการติดเชื่อม ได้เคลื่อนย้ายปะการังชนิดเขากวางและปะการังโขดจำนวน 500 ก้อน ซึ่งเป็นการร่วมงานระหว่าง นสร.กร. นักดำน้ำเพื่อการอนุรักษ์ฯ และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยบูรพา นอกจากนั้นยังได้ติดตามและประเมินผลการเจริญเติบโตของปะการังดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่ามีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่าปีละ 1 เซนติเมตร ปัจจุบันปะการังดังกล่าวขยายขนาดจนปกคลุมแท่งคอนกรีตเกือบทุกก้อน
ปัจจุบันสภาพตะกอนในอ่าวสัตหีบได้หมดไป จึงไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินการเคลื่อนย้ายปะการังดังกล่าว หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ จึงได้ร่วมกับ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการเพาะขยายพันธุ์ปะการังด้วยวิธีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการเพาะขยายพันธุ์ปะการังด้วยวิธีสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ และฟื้นฟูแนวปะการังธรรมชาติ ดำเนินการศึกษาปะการังในกลุ่มเขากวาง Acropora spp. ซึ่งเป็นปะการังที่มีการปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ออกมาผสมในมวลน้ำและมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศปีละครั้ง และปะการังดอกกระหล่ำ Pocillopora damicornis ที่มีการผสมภายในโคโลนีแม่ และปล่อยตัวอ่อนระยะว่ายน้ำออกมาสู่มวลน้ำ ซึ่งสามารถปล่อยตัวอ่อนได้ตลอดปี ทำการเก็บเซลล์สืบพันธุ์ปะการังดังกล่าวจาก 3 พื้นที่ในอ่าวสัตหีบ ได้แก่ เกาะเตาหม้อ เกาะปลาหมึก และเขาหมาจอ โดยการวางทุ่นดักตัวอ่อนปะการังทั้งไข่และสเปริ์ม จากนั้นจะทำการอนุบาลในถังเลี้ยง บริเวณโรงเพาะเลี้ยงบนเกาะแสมสาร โดยให้ตัวอ่อนของปะการังเกาะตัวบนก้อนหินหรือแผ่นกระเบื้อง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยและเก็บข้อมูลด้านวิชาการ จากการศึกษาพบว่า อัตราการปฏิสนธิของปะการังทุกชนิดมีค่าระหว่างร้อยละ 90.7 – 95.9 ในขณะที่อัตราการปฏิสนธิภายในโคโลนีเดียวกันมีค่าระหว่างร้อยละ 1.7 – 3.3 อัตราการเปลี่ยนเป็นตัวอ่อนระยะว่ายน้ำมีค่าระหว่างร้อยละ 87.2 – 89.0 หลังจากนั้น ตัวอ่อนจึงลงเกาะบนพื้นผิวที่อายุ 4 วันหลังจากการปฏิสนธิ โดยมีอัตราการลงเกาะร้อยละ 50.0 – 75.0 เมื่อทำการเพาะเลี้ยงจนมีขนาดที่เหมาะสมก็จะนำไปวางในทะเลต่อไป
การเพาะขยายพันธุ์ปะการังด้วยวิธีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ นอกจากจะเป็นวิธีการขยายพันธุ์ปะการังอีกทางเลือกหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการศึกษาค้นคว้าที่ใกล้จะพบความสำเร็จในการขยายปริมาณปะการังในทะเลแล้ว ยังเป็นแหล่งให้นักศึกษาและเยาวชนได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้วิธีการดังกล่าว ซึ่งเป็นการสร้างจิตสำนึกในการที่จะอนุรักษ์ปะการังโดยตรง และทำให้บุคคลทั่วไปได้เห็นถึงความยากลำบากและความพยายามของนักวิชาการ และเจ้าหน้าที่ทุกส่วน ในการที่จะร่วมมือกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลต่อไป
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทุบรี
มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี เป็นสถาบันอุดมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 41 หมู่ที่ 5 ตำบลท่าช้าง อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี โดยมีเนื้อที่รวม 720 ไร่
3 งาน (เดิมเป็นวังสวนบ้านแก้ว เป็นที่ประทับของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งพระราชทานให้กระทรวงศึกษาธิการ) และมีเนื้อที่สถานีทดลองการเกษตรแก่งหางแมว กิ่งอำเภอแก่งหางแมว ประมาณ 370 ไร่
เดิมใช้ชื่อ “วิทยาลัยครูจันทบุรี” จัดตั้งเมื่อวันที่15 มิถุนายน 2515 ได้รับพระราชทานตราศักดิเดชน์ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นตราประจำวิทยาลัย ต่อมาได้รับพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธยของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เป็นนามของวิทยาลัย จึงเปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลัยรำไพพรรณี” ในปี พ.ศ. 2536 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามให้เป็น “สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี” และได้เปลี่ยนเป็น “มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี” ตามประกาศพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547
มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีเป็นอุทยานการเรียนรู้ (Learning park) ที่ทันสมัยแห่งอนุภาคภาคตะวันออก ที่มุ่งเน้นการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่น และภูมิปัญญาสากล เพื่อสร้างชุมชนและสังคมให้เข้มแข็งและยั่งยืนดังปรัชญาของมหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี “เป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น”
โครงการวิทยาศาตร์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
โครงการค่ายเยาวชนอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (ค่ายเยาวชนรักษ์ทะเลรักษ์ถิ่น)
ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมทางทะเลได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ที่มักจะพบเห็นได้เด่นชัด คือ ความเสื่อมโทรมชายฝั่งและแนวปะการัง ปริมาณสัตว์น้ำน้อยลง การทิ้งสิ่งปฏิกูลลงทะเล เป็นต้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากขาดความรู้ ความผูกพัน การขาดจิตสำนึกที่ดีและความภาคภูมิใจในทรัพยากรที่ตนเองเป็นเจ้าของ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของโครงการค่ายเยาวชนอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อม(ค่ายเยาวชนรักษ์ทะเลรักถิ่น) ที่ทางชมรมคนรักษ์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาลัยราชภัฎรำไพพรรณี ได้จัดขึ้น เพื่อให้เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการเกิดความรู้ มีความผูกพัน รักและหวงแหนในทรัพยากรทางทะเลที่มีอยู่ และกลายเป็นผู้นำในการสร้างเครือข่ายสิ่งแวดล้อม ที่จะนำไปสู่การจัดกิจกรรมดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนในอนาคต
โครงการค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชน
ค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชน เป็นกิจกรรมที่ศูนย์วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ได้จัดขึ้นโดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อเน้นการฝึกอบรมให้เกิดกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ รู้จักวิธีการเรียนรู้ โดยฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นการทดลองปฏิบัติจริง (Laboratory Approaches) เป็นการปลูกฝังและวางพื้นฐานการเรียนวิทยาศาสตร์ให้แก่เยาวชน เพื่อสร้างผู้นำทางความคิดที่มีเหตุผล รู้จักวางแผนแก้ปัญหา สามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกได้อย่างมีความสุข ปลูกฝังให้เยาวชนเกิดจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยการปลูกปะการังด้วยท่อพีวีซี โดยมีวิทยากรจากจากมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้ความรู้
โครงการเสริมสร้างนักเรียนสู่สังคมนักวิทยาศาสตร์
ในภูมิภาคตะวันออกของประเทศไทย มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติมากมาย แต่มีแนวโน้มที่กำลังประสบปัญหาในด้านการใช้ทรัพยากร มีผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมพืชผลมีราคาตกต่ำ ขาดเทคโนโลยีในการพัฒนาและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี ได้กำหนดยุทธศาสตร์ให้มีการเร่งรัดที่จะปฏิรูปการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างเยาวชนให้เป็นคนเก่ง คนดี และเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างมีความสุข จึงได้จัดโครงการนี้ขึ้นเพื่อส่งเสริมนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์มีความกระตือรือล้นมีความเพียรพยายาม มีเหตุผล มีความซื่อสัตย์ มีความละเอียดรอบคอบ ใจกว้าง เห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์ มาเข้าร่วมทำกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาให้มีความพร้อมที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดีมีศักยภาพเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
โครงการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และถ่ายทอดเทคโนโลยีการฟื้นฟูแนวปะการัง
จากวิกฤตความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย เกิดจากการเรียนการสอนที่ผ่านมาส่วนใหญ่เน้นที่การจดจำเนื้อหามากกว่าการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มิได้สนองความอยากรู้อยากเห็นในโลกของการสัมผัสการทดลอง ดังนั้นการใช้ห้องเรียนธรรมชาติมาเป็นแนวทางในการจัดความรู้ ได้ลงมือปฏิบัติจริง รู้จักใช้เครื่องมือแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนมีการพัฒนาเต็มศักยภาพ สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน มีความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ได้พัฒนากระบวนความคิดขั้นสูง มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงบทบาทของนักวิทยาศาสตร์ ที่สามารถถ่ายทอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สอดคล้องกับปัญหาในท้องถิ่นได้ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการเสื่อมโทรมของชายฝั่งและแนวปะการัง
จากโครงการพัฒนาการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และถ่ายทอดเทคโนโลยีการฟื้นฟูแนวปะการัง
มหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพรรณีจึงได้เข้าไปศึกษาหาข้อมูลถึงการแก้ไขปัญหาในการเสื่อมโทรมทรัพยากรทางชายฝั่ง และได้จัดโครงการ “ค่ายวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์” ขึ้น เพื่อให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งโครงการดังกล่าวได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี
มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ. วีนิไทยเล็งเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีประโยชน์และเป็นผลดีต่อชุมชน จึงได้เข้ามาสนับสนุนโครงการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ
ปี พ.ศ. 2546 เป็นต้นมา ทางมหาวิทยาลัยราชภัฎรำไพรรณีและมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย ได้ร่วมวิจัยและพัฒนาการปลูกปะการังเขากวางด้วยท่อพีวีซี เพื่อฟื้นฟูและคืนความสมบูรณ์ของปะการังให้แก่ท้องทะเลไทย
องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร ได้จัดตั้งตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 19มกราคม พ.ศ. 2539 โดยเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลขนาดกลาง ที่ทำการเลขที่ 127/4 หมู่ 2 ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 5,992 มีจำนวนครัวเรือน 1,651 ครัวเรือนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่1 บ้านช่องแสมสาร หมู่ 2 บ้านหนองน้ำเค็ม หมู่ 3 บ้านเขาหัวแหลม
หมู่ 4 บ้านหนองกระจง ประชาชนส่วนใหญ่ในตำบลแสมสารมีอาชีพทำการประมง รับจ้าง และค้าขาย
วิสัยทัศน์การพัฒนาท้องถิ่น
“เมืองน่าอยู่ คู่คุณภาพชีวิตดี ลือเรื่องวัฒนธรรมและประเพณี สิ่งแวดล้อมดี มีแหล่งท่องเที่ยวสวยงาม”
โดยมีโครงการที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ดังต่อไปนี้
โครงการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ทางองค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร จึงได้จัดทำ “โครงการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล” เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลให้อยู่คู่กับชุมชนตลอดไป
โครงการป้องกันมลพิษจากการแกะล้างวัตถุดิบสัตว์น้ำ
องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสารและกรมควบคุมมลพิษได้จัดโครงการนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาจากมลพิษจากการแกะล้างวัตถุดิบสัตว์น้ำ แล้วปล่อยน้ำเสียทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อม โดยไม่มีการบำบัดน้ำเสียเบื้องต้น น้ำเสียเกิดการตกค้างทำให้เกิดมลพิษทางกลิ่น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีส่งผลการสุขภาพอนามัยประชาชน
โครงการ “รักษ์ทะเลแสมสาร ครั้งที่ 1”
เป็นโครงการระยะยาวและทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 ปี โดยได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรต่างๆ โดยประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมที่จะดูแลและปกปักรักษาสภาพแวดล้อมคืนความสมบูรณ์ให้ธรรมชาติ
โครงการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
การจัดทำโครงการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลให้อยู่คู่กับชุมชนต่อไป และเพื่อสร้างทัศนียภาพใต้ท้องทะเลให้สวยงาม
โครงการฝึกอบรมอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล
เพื่อส่งเสริม สร้างความรู้ และสร้างจิตสำนึกให้เยาวชนให้เยาวชนใส่ใจในการอนุรักษ์รักษาและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสารจึงได้จัดทำโครงการ ดังกล่าวขึ้นโดยประสานความร่วมมือกับกองเรือป้องกันฝั่ง
โครงการวีนิไทยร่วมใจปลูกปะการัง 80,000 กิ่งที่เริ่มต้นเพื่อล้นเกล้า
องค์การบริหารส่วนตำบลแสมสารได้ลงนามความร่วมมือกับมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2551 เพื่อร่วมขยายพันธุ์ปะการังเขากวางโดยใช้ท่อพีวีซีในบริเวณช่องแสมสาร
เกาะสเม็ด จังหวัดระยอง
โครงการปลูกปะการังที่เกาะเสม็ด จากคอลัมน์เล็กๆสู่แนวทางอันยิ่งใหญ่
คอลัมน์การปลูกปะการังเขากวางของอาจารย์ประสาน แสงไพบูลย์ ประธานมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย ข้อความเล็กๆในหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการพยายามที่จะฟื้นฟูและอนุรักษ์ปะการังในพื้นที่เกาะเสม็ด เมื่อนายนพดล ชลสวัสดิ์ได้อ่านพบและเล็งเห็นหนทางที่จะสามารถฟื้นฟูแหล่งปะการังที่เสื่อมโทรมของเกาะเสม็ดได้ จึงได้เกิดแรงจูงใจที่จะไปศึกษาดูงาน ที่มูลนิธิฯ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก อบจ.ระยอง
นายนพดล ประธานกลุ่มอนุรักษ์ปะการังเกาะเสม็ด และประชาชนในพื้นที่เกาะเสม็ดราว 60 คนซึ่งประกอบไปด้วย เด็กนักเรียน ผู้ประกอบการบนเกาะ ชาวบ้าน จึงได้เดินทางไปศึกษาการขยายและฟื้นฟูปะการังเขากวางที่มูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุกรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
จากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน นายนพดลและชาวบ้านจึงได้ร่วมมือกันทดลองปลูกปะการังขึ้นที่อ่าวลุงดำ เริ่มจากการปลูกบนแปลงท่อพีวีซี ขนาด 14 ต้นต่อ 1 แปลง ในครั้งนั้นได้ปลูกถึง 50 แปลงหรือราว 700 ต้น
ระยะเวลาผ่านไป ปะการังก็เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นายนพดลและกลุ่มอนุรักษ์ปะการังเกาะเสม็ดจึงได้ร่วมกันขยายพันธุ์ปะการังเขากวางตามพื้นที่ต่างๆ คือ พื้นที่หาดทรายแก้ว อ่าววงเดือน อ่าวลูกโยน อ่าวพร้าว รวมทั้งพื้นที่อ่าวลุงดำ ที่เป็นพื้นที่ริเริ่มในการปลูกปะการังด้วย โดยการขยายพันธุ์ปะการังเขากวาง ก็ใช้กิ่งปะการังบางส่วนที่ปลูกไว้ตั้งแต่แรก มาเป็นกิ่งพันธุ์ใช้ในการปลูกครั้งต่อไป และส่วนที่เหลือก็จะนำไปวางตามแนวปะการังเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์ในท้องต่อไป
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีพ.ศ. 2549 ทางมูลนิธิกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย ได้เข้าไปดูความคืบหน้าของโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ปะการังบนพื้นที่เกาะเสม็ดและได้มอบแปลงพีวีซีที่ใช้ในการขยายพันธุ์ปะการังให้กับกลุ่มอนุรักษ์ฯด้วย
ถึงแม้การดำเนินงานการขยายพันธุ์และอนุรักษ์ปะการังของกลุ่มอนุรักษ์ปะการังเกาะเสม็ดจะมีปัญหาที่ทำให้ท้อแท้อยู่บ้าง ทั้งพายุ การกระทำของน้ำมือมนุษย์ที่ทำให้ปะการังมักถูกทำลาย แต่ทางกลุ่มอนุรักษ์ปะการังฯก็ไม่ท้อถอย แต่กลับเป็นจุดที่ทำให้ทุกคนรักและหวงแหนปะการังมากยิ่งขึ้น
จากต้นปะการังจำนวน 700 ต้น กลายมาเป็น 1500 ต้นในปัจุบัน และจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นหลายๆต้นในปีต่อๆไป
เกาะทะลุ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ปีพ.ศ. 2540 ได้มีคณะสำรวจจากกองทัพเรือภาค 1 มาสำรวจพื้นที่ ก่อนการเสด็จส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2540 หัวหน้าชุดสำรวจได้ขึ้นมาประชุมปรึกษาแนวทางการรับเสด็จ และได้บอกว่าปะการังที่นี่สมบูรณ์และสวยงามมาก ต่อมาปี พ.ศ. 2540-2543 จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะฟื้นฟูแนวปะการังซึ่งเคยถูกทำลายจากการระเบิดปลาในอดีต
หลายปีที่ผ่านมาเมื่อใดที่พบกิ่งปะการังหักล้มอยู่ ก็จะจับมาเสียบตั้งไว้บนปะการังโขดหลังจากผ่านไป 1-2 ปี สังเกตเห็นปะการังโตเป็นพุ่ม จึงทดลองนำเศษเหล็กที่เหลือจากการก่อสร้าง (ซึ่งในขณะนั้นได้มีการก่อสร้างที่พักบริเวณชายฝั่ง) มาเชื่อมเป็นฐานสำหรับเสียบตั้งปะการังที่หักพัง โดยนำไปวางในระดับน้ำที่เหมาะสม เห็นว่าสามารถเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งด้านหน้าอ่าวมุก บางกิ่งสามารถโตได้ถึงปีละกว่า 10 เซนติเมตร บางครั้งเมื่อพายเรือไปทางท้ายเกาะพบปะการังที่หักจากกระแสคลื่นลม เพราะบริเวณนี้เป็นแนวดอนทรายที่น้ำตื้นยาวกว่า 1 กิโลเมตร ก็เก็บเอาใส่เรือกลับมาวางในระดับน้ำที่ลึกกว่าแนวปะการังที่ตาย เพราะคิดว่าบางจุดอาจจะตื้นเกินไปจนถูกเหยียบจากนักท่องเที่ยวที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือบริเวณนั้นน้ำตื้นมากเมื่อน้ำลง ปะการังก็โผล่และตายในที่สุด จึงนำไปวางในระดับน้ำลึกที่น้ำลงแล้วลึกประมาณ 1-2 เมตร พบว่าปะการังแปลงล้างขวด เขากวางเล็ก เขากวางใหญ่ สามารถเจริญเติบโตและมีอัตรารอดดีและแตกเป็นแขนงสมบูรณ์
ในขณะนั้นก็เริ่มมีโรงเรียนและหน่วยงานการศึกษาต่างๆ สนใจเข้ามาใช้พื้นที่สำหรับเป็นค่ายวิทยาศาสตร์ทางทะเล ต่อมาหลังจากปรากฏการณ์เอลนิโญ ทำให้ปะการังในหลายพื้นที่มีการฟอกขาวและหักพังไปบ้าง ทางเกาะทะลุจึงมีความคิดที่จะพยายามรักษาปะการังที่เหลือไว้ โดยย้ายปะการังบางส่วนที่ยังไม่ตายลงไปในระดับน้ำลึกกว่า ปรากฏว่าปะการังนั้นไม่ตายและยืนต้นเติบโตต่อไปได้
พ.ศ. 2545 อ.ประสาน แสงไพบูลย์ ประธานมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย ได้มาร่วมเป็นวิทยากรพิเศษ บรรยายให้กับหน่วยงานการศึกษาต่างๆที่เข้ามาทำกิจกรรมในพื้นที่ จนประมาณกลางปี พ.ศ.2550 ทางอาจารย์ในนามมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์และการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ. วีนิไทยได้ทำโครงการปลูกปะการัง 10,000 กิ่ง และทางเกาะทะลุก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว และได้มีเจ้าหน้ามูลนิธิฯมาเก็บข้อมูลเป็นระยะๆ เห็นว่าปะการังที่ช่วยกันฟื้นฟูนั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว สร้างความสมบูรณ์อย่างมาก โดยลงแปลงอนุบาลปะการังไว้บริเวณหน้าอ่าวใหญ่อีกประมาณ 60 แปลงๆละ 14 กิ่ง และจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกในอนาคต
แรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่น และสำนึกที่จะฟื้นฟูอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลของชาวเกาะทะลุ สร้างความสำเร็จในการฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลบริเวณแนวปะการังแหล่งพันธุกรรมสัตว์น้ำ ทำให้เกาะทะลุแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้นตลอดไป
เกาะขาม จังหวัดชลบุรี
เกาะขามเป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของอำเภอสัตหีบ ห่างออกไปจากฝั่ง ประมาณ
9 กม. ใช้เวลาเดินทางด้วยเรือประมาณ 45 นาทีและอยู่ทิศตะวันตกของเกาะแสมสาร ห่างจากท่าเรือแสมสาร 3 กม.ใช้เวลาเดินทางด้วยเรือประมาณ 15 นาที เกาะขามมีรูปร่างคล้ายตัว H
มีพื้นที่ประมาณ 61 ไร่ อยู่ภายใต้การดูแลของกองเรือป้องกันฝั่ง ชายหาดของเกาะขามมีสองหาดใหญ่ๆ คือหาดด้านทิศเหนือและทิศใต้ ชายหาดด้านทิศเหนือเป็นทรายค่อนข้างละเอียด เหมาะสำหรับการว่ายน้ำและสันทนาการทางน้ำ ด้านทิศใต้เป็นหาดทรายหยาบมีหินกรวดและซากปะการังทับถมเต็มชายหาด
ลึกลงไปใต้ทะเลของเกาะขามจะพบแนวปะการังอันอุดมสมบูรณ์กระจายตัวอยู่รอบๆเกาะ บริเวณที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ของปะการังอยู่ทางทิศใต้ ซึ่งแนวปะการังในบริเวณนี้จะเป็นปะการังเขากวาง ปะการังโต๊ะและปะการังสมอง ในระดับความลึกของน้ำประมาณ 3-6 เมตร จึงเหมาะสำหรับการดำน้ำท่องเที่ยว ทั้งแบบผิวน้ำและแบบน้ำลึก นอกจากนี้แล้ว ยังพบปลาทะเลที่สวยงาม ได้แก่ ปลาผีเสื้อ ปลาสลิดหิน ปลาอมไข่ ปลากะรัง และปลารวมฝูง เช่น ปลาหางเหลือง นอกจากนี้ยังพบสัตว์ทะเลอื่น ๆ ได้แก่ หอยมือเสือ หอยมือแมว ดอกไม้ทะเล ปลาอินเดียแดง กุ้งและปูชนิดต่าง ๆ ดาวขนนก เม่นทะเล และปลิงทะเลที่มีความสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัวของเกาะขาม
จุดเด่นของอุทยานใต้ทะเลเกาะขาม นอกจากอุดมไปด้วยแนวปะการังน้ำตื้นแล้ว ยังเป็นสถานที่แห่งแรกของ ประเทศไทยที่ได้มีการเคลื่อนย้ายปะการังที่กำลังจะเสื่อมโทรมจากบริเวณเกาะเตาหม้อมาลงไว้ที่เกาะขาม เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างแนวปะการังในบริเวณที่เสื่อมโทรมและตายไปให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งการเคลื่อนย้ายปะการังนี้ ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา ซึ่งการเคลื่อนย้ายปะการังนี้ ได้ดำเนินการโดยกำลังพลกองทัพเรือและนักดำน้ำอาสาสมัคร ทั้งนี้โดยได้รับความร่วมมือจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยบูรพา
จากการติดตามประเมินผล ปรากฎว่าปะการังส่วนใหญ่ยังคงดำรงชีวิตอยู่ได้และเจริญเติบโต เพื่อสร้างแนวปะการังที่เสื่อมโทรมให้ฟื้นคืนสู่สภาพที่สมบูรณ์เหมือนเดิม
ต่อมากองเรือป้องกันฝั่ง ได้ร่วมกับมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย ดำเนินกิจกรรมขยายพันธุ์ปะการังเขากวางด้วยท่อพีวีซีในอุทยานใต้ทะเลเกาะขาม โดยตลอดเวลาที่ผ่านมามีนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนทั่วไป สนใจขอเข้าเยี่ยมชมอุทยานใต้ทะเลเกาะขามและทำกิจกรรมปลูกปะการังโดยใช้ท่อพีวีซีอย่างต่อเนื่อง
เกาะหวาย จังหวัดตราด
ภายในระยะเวลา 10-15 ปีที่ผ่านมาพบว่าปะการังที่เกาะหวาย จังหวัดตราด ได้ถูกทำลายเสียหายอย่างมาก สาเหตุเกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ เช่น พายุลินดา เมื่อปี 2540 ปรากฏการณ์เอลนิลโย ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเมื่อปี 2541 และจากน้ำมือของมนุษย์
ตั้งต้นปี 2548 เกาะหวาย จังหวัดตราด ร่วมกับ อ.ประสาน แสงไพบูลย์ ประธานมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์ โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการเพาะเลี้ยงอนุบาลปะการังโดยการใช้ท่อพีวีซี ได้นำแปลงทดลองปะการังเขากวาง 50 แปลงมาทดลองอนุบาลในพื้นที่เกาะหวาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการธนาคารปะการังที่ มีวัตถุประสงค์เพื่อการฟื้นฟูแนวปะการังและแบ่งปันวิธีการขยายพันธุ์ปะการังเขากวางให้กับพื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย เวลาต่อจึงมีความร่วมมือในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง กรมเจ้าท่า ส่วนบริหารจ.ตราด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)
ในเดือน มกราคม 2549 มูลนิธิวัฒนธรรมและการศึกษานานาชาติ (ICEF) ได้ให้การสนับสนุนทุนในดำเนินโครงการทดลองฟื้นฟูปะการังบริเวณพื้นที่ชายฝั่งของเกาะหวาย แก่นักศึกษา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.ราชภัฏรำไพพรรณี ร่วมกับทีมนักวิจัยจากมูลนิธิกิจกรรมวิทยาศาสตร์ทางทะเลและการอนุรักษ์โดยความอุปถัมภ์ของ บมจ.วีนิไทย
ปัจจุบัน ปะการังที่เกาะหวายมีอัตราการเจริญเติบโตที่ดีอย่างน่าชื่นใจ เป็นการกลับคืนมาของระบบนิเวศที่สมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปะการังที่มีอายุมากกว่า 2 ปี มีความยาวประมาณ 15-25 ซม. ซึ่งกลายเป็นปะการังต้นพันธุ์ที่โตสมบูรณ์พร้อมจะนำไปสู่การขยายพันธุ์ด้วยการใช้ท่อพีวีซีต่อไป
กิจกรรมรักษ์ปะการังของเกาะหวาย
- กิจกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ
- การศึกษาการเจริญเติบโตและการพัฒนาของปะการังเขากวางในแปลงขยายพันธุ์ด้วยท่อพีวีซี
- การอบรมค่ายเยาวชนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
- การอบรมวีธีการดำน้ำเพื่อชมปะการังที่ถูกวิธีแก่นักท่องเที่ยว